Friday, September 25, 2009

Love need no name

I try to figure out how I got this term " love need no name"  It came to my head when I pondered about the past and I recalled that "love need no name" came from the name of a movie. The movie is about teenager love like the innocent lover.  They acted what they feel. 

หญิงชายใครเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขมากกว่ากัน

ในขณะที่ทางตะวันออกจะนิยมยินดีมากกว่าที่ได้ลูกชาย และสถานะการณ์เริ่มเปลี่ยนไปที่ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ชื่นชมยินดีทั้งนั้น จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ผู้ชายมีทั้งโครโมโซม x และ y เป็นผู้กำหนดเพศ แต่จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เมื่อเร็วๆ นี้ก็ไม่จำเป็นว่าอสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุดเป็นผู้ชนะเข้าผสมกับไข่ได้ แต่เป็นอสุจุตัวที่ไข่เป็นผู้เลือก ที่กล่าวมาก็ยังไม่ใช่ประเด็นว่าการเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริง เพราะไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งนั้น แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าถ้าให้มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์แล้วการมีลูกสาวนั้นมั่นใจได้มากกว่าว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงกว่า เพราะลูกที่เกิดจากลูกสาวนั่นมั่นใจได้ 100 เปอร์เซ็นนต์ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริง ส่วนเด็กที่เกิดจากลูกสะไภ้ซึ่งเป็นลูกของลูกชายนั้นยังมีโอกาสที่ไม่ใช่ลูกที่เกิดจากลูกชายของเราก็เป็นได้ จริงแล้วความคิดเช่นนี้จะมีมากในสังคมตะวันตกที่มีการหย่าร้างสูง และนิยมมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ซึ่งจะแตกต่างจากการคิดในสังคมตะวันออก

เมื่อคอมพิวเตอร์เป็นต้นแบบของความเรียบง่าย

ตอนที่คิดค้นคอมพิวเตอร์ขึ้นมาครั้งแรกนั้นเพียงต้องการให้คอมพิวเตอร์ช่วยเหลือเรา ในการคำนวณที่ยุ่งยากซับซ้อนได้รวดเร็วขึ้น นั่นเป็นงานประมวลผลคอมพิวเตอร์ยุคแรกสุดต่อมา นอกจากคำนวณตัวเลขแล้วยังใช้ในการจัดการเกี่ยวกับตัวอักษร ตัวอักขระ การประมวลผลของคอมพิวเตอร์ก็รวมการประมวลผลคำ ซึ่งประยุกต์ใช้ในการพิมพ์เอกสารและแสดงผลสื่อความหมายจากการคำนวณ และเมื่อคอมพิวเตอร์แสดงภาพได้ก็สามารถประมวลภาพ คอมพิวเตอร์สร้างเสียงและประมวลผลเสียง นั่นก็คือคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ประมวลผลมัลติมีเดีย จากแนวคิดการแสดงผลในรูปมัลติมีเดียและประมวลผลมัลติมีเดียนี่เอง ทำให้มีการคิดค้นให้คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องเล่นและบันทึกเสียง(เพลง) และวิีดีโอ ในตอนแรกๆ คอมพิวเตอร์ยังทำได้ไม่ค่อยดี เล่นวิดีโอก็กระท่อนกระแท่น เสียงก็ยังไม่ชัดเจน ในระยะเวลาไม่กี่ปี ในระดับทศวรรษเท่านั้นเอง ที่คอมพิวเตอร์ได้ปฏิวัติวงการบันเทิง และวงการการศึกษา มีส่วนในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
จากที่เล่นวิดีโอกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ฟังเพลงกับคอมพิวเตอร์ โดยใช้ซอพท์แวร์คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ ก็สามารถทำไปสร้างเป็นเครื่องเล่นเพลงเพียงอย่างเดียวก่อนต่อมาก็ทำให้สามารถเล่นวิดีโอและเพลงในเครื่องเดียวกันโดยไม่ต้องผ่านหรือเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ เท่ากับเป็นการลดบทบาทคอมพิวเตอร์ลง ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องดูวิดีโอหรือภาพยนต์ ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องฟังเพลง ทั้งนี้ก็เพราะว่าคอมพิวเตอร์ที่ดีๆราคาสองสามหมื่นบาท แต่เครื่องเล่นวีดีโอและเพลงราคาแค่พันบาท ด้วยเหตุนี้การนำคอมพิวเตอร์มาเป็นเครื่องดูหนังฟังเพลงจึงไม่ค่อยคุ้มค่า
อุปกรณ์หลายต่อหลายอย่างเริ่มต้นในคอมพิวเตอร์พอคอมพิวเตอร์ทำได้ดี ก็สร้างเป็นเครื่องมือเฉพาะทางขึ้นมา เช่นเครื่องเล่นเพลง mp3,4 เครื่องเล่นวิดีโอซีดี ดีวีดี เครื่องบันทึกเสียง เครื่องดูภาพ แค่เสียบแฮนดีไดร์ฟที่เก็บภาพไว้ก็แสดงบนจอเฉพาะทางนี้ได้ เครื่องอ่านหนังสือมัลติมีเดีย เครื่องเล่นเกมส์ และคิดว่ายังจะมีอุปกรณ์ใหม่ๆ ผลิตออกมาจำหน่ายเรื่อยๆ จากที่เคยให้ทำงานบนคอมพิวเตอร์ และทำมาสู่เครื่องมือเฉพาะทางที่ทำให้สะดวกต่อการใช้มากกว่าคอมพิวเตอร์อย่างน้อยในด้านความเร็ว เพราะคอมพิวเตอร์ต้องเสียเวลาบูทเครื่อง แต่อุปกรณ์เฉพาะทางนั้นใส่โปรแกรมควบคุมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ความเรียบง่ายกับความเป็นระเบียบ

เรามักมองความเรียบง่ายเหมือนกับไม่มีกฏเกณฑ์ใดๆ แต่ถ้าพิจารณาในรายละเอียดแล้วความเรียบง่ายนั้นเกิดมาจากความมีระเบียบ  ผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่มนุษย์คิดสร้างสรรค์ขึ้น ระยะแรกๆ การใช้งานยุ่งยากเราก็บอกว่าขาดความเรียบง่าย  แต่เมือ่มีการปรับปรุงให้การใช้งานง่ายขึ้น หรือจัดระเบียบการใช้งานใหม่ก็ทำให้ง่ายต่อการนำไปใช้ ง่ายต่อการดูแล เราไม่จำเป็นต้องทราบการทำงานของเครื่องใช้ทุกอย่าง แต่ควรจะรู้เรื่องบางอย่างที่จำเป็นที่ต้องจะนำมาใช้ในการแก้ปํญหา

เส้นทางที่เรียบง่ายสำหรับแมลง

คาดคะเนกันว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ทำให้สัตว์ต่างๆ ต้องมีการปรับตัว แม้แต่ยุงก็มีการปรับตัวให้วงจรชีวิตสั้นลง ไม่จำเป็นต้องมีแหล่งเพราะพันธ์ที่เป็นที่น้ำขังมากนัก ระว่างง่ามกลีบตั้นไม้ที่มีน้ำขังยุงก็ไปดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างครบวงจร แล้ว นั่นเพราะเป็นหนทางที่เรียบง่ายของมันนั่นเอง ที่ทำให่มันดำรงเผ่าพันธ์อยู่ได้ต่อไป 
     การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกทำให้มีการอบยพของสัตว์ มากขึ้นมีมดบางชนิดอบยพขึ้นไปทางเหนือมากขึ้น ทำให้สัตว์กินมดตามไป จากบริเวณที่ไม่เคยเห็นสัตว์กินมดก็ทำให้เห็นสัตว์ชนิดนี้มากขึ้น มีมดบางชนิดได้ไปทำลายระบบนิเวศดั้งเดิม เช่นมดบาง่ชนิดที่อบยพมาจะไปกินปลวก ทำให้ปลวกหายไปได้ในบางบริเวณ

เส้นทางคุณภาพที่เรียบง่าย

ด้วยคำพูดที่ว่าทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้ ก็บ่งชี้ให้ทราบว่าสามารถที่จะพัฒนาปรับปรุงอะไรให้ดีขึ้นได้เสมอ ด้วยความตั้งใจมุ่งมั่นย่อมทำได้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็ดีขึ้นสำหรับตัวเราเองก่อน เพราะที่บอกว่าดีขึ้นนั้นอาจจะยังด้อยกว่าผู้อื่นอยู่ หรือไม่ได้ดีไปกว่าผู้อื่นในเรื่องนั้นๆ อย่างไรก็ตามแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน จะมีบางอย่างด้อยกว่า บางอย่างเหนือกว่า หรืออย่างน้อยก็ให้เท่าเทียบ จึงขุดดึงเอาความสามารถของตัวเองขึ้นมา ทำอะไรสักอย่างให้ดีขึ้น มุ่งมั่นจนทัดเทียบ แล้วดีกว่าในที่สุด

Thursday, September 24, 2009

การคิดอย่างมีเหตุผลเป็นเช่นใด

ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก็มีความมีเหตุผลเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งคงจะหมายถึงการคิดและการกระทำอย่างมีเหตุผล และโดยเฉพาะในทางการศึกษาการสอนให้คิดได้อย่างมีเหตุผลน่าจะเป็นเป้าหมาย หลักอย่างหนึ่ง
โดยทั่วไปการคิดจะหมายถึงการตีความ พิจารณา ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง เพื่อทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าตามแนวคิดของดิวอี้ก็เพื่อที่จะพิจารณาเพื่อแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง การนั่งเม่อใจลอยโดยไม่มีเป้าหมายใดถือว่าไม่เป็นการคิด ส่วนการคิดในกระบวน การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นคิดแต่เพียงว่าให้เรียกข้อมูลมาได้และประมวลผล ที่ก่อให้เกิดการตัดสินใจ หรือพูดง่ายๆ ว่ามีความจำและการตัดสินใจ ยิ่งมีความจำมากก็ยิ่งตัดสินใจได้ดีและถือว่าการคิดและการกระทำทุกอย่างต้อง มีการตัดสินใจ

สำหรับการคิดอย่างมีเหตุผลน่าจะมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
มีจิตใจใฝ่รู้ มีความสงสัยที่จะเป็นแนวทางการศึกษาต่อไป

มีความรู้สึกที่ส่งผลต่อเป็นแรงขับที่ต้องการในการทำสิ่งต่างๆ ให้มีความชัดเจน ละเอียดถี่ถ้วน

มีความพอใจที่จะเข้าสู่รากฐานที่มาของสิ่งทั้งปวงในระดับที่ลึกซึ้ง

ฟังความคิดเห็นที่ตรงข้ามจากบุคคลอื่นด้วยความจริงใจ เห็นใจ

มีแรงขับที่จะหาหลักฐานมาสนับสนุน

มีความเห็นแย้งกับความคิดที่สับสนวุ่นวายก่อให้เกิดปัญหาสร้างความแตกแยก

ไม่ยอมให้ใครมาทำให้มาตรฐานที่ดีเป็นที่ยอมรับต้องคลอนแคลน

อุทิศตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริงตามที่ตนเองสนใจ

การเกิดคุณค่า

เราพูด กันถึงเรื่องคุณค่ากันมากขึ้น เรานำมาเป็นส่วนของชื่องานวิจัย ที่บอกว่าจะช่วยเพิ่มคุณค่า จากเดิมที่เราคิดว่ามีคุณค่าอยู่แล้ว แต่เมื่อพิจาราณาถึงความหมายว่าคุณค่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น คุณค่าไม่ได้เป็นเพียงมีอยู่ในเศษกระดาษที่เขียนไว้อย่างสวยหรู หรืออยู่ในคำพูดอันไพเราะ แต่คุณค่าจะคงอยู่มีอยู่จริงได้นั้นก็ต้องอยู่ที่การกระทำ อยู่ที่การปฏิบัติ อยู่ที่การรื้อฟื้น โดยทั่วไปคุณค่าเป็นอะไรก็ตามที่ผูกยึดสิ่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน การตัดสินลงความเห็นคุณค่าจะก่อเกิดขึ้นได้ก็ผ่านทางวิทยาศาสตร์หรือความ เป็นจริงและแนวทางอื่นๆที่มีเหตุผล เป็นส่วนของการอ้างอิงเรียกร้องให้ใส่ใจถึงคุณค่า ซึ่งบอกเราให้ทราบว่าการบูรณาการผสมผสานจากหลายๆ สำคัญและมีนัยสำคัญ มีอะไรที่เหมาะสมกันและกัน และทำไมมนุษย์เราจึงได้แบ่งปันความคิดและข้อสาระเอกสารกัน เป็นแนวทางในการทำความเข้าใจธรรมชาติและประสบการณ์ของมนุษย์ คุณค่าทางการศึกษาเกิดขึ้นจากการสร้างความหมายที่ผูกโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน และดังนั้นคุณค่าจึงเป็นส่วนในการสร้างสรรค์โลกของเรา

ว่าด้วยการใช้เหตุผล

ความวุ่นวายในเหตุการณ์ต่างๆ มักจะโทษกันว่าเป็นเพราะเราไม่ฟังเหตุผลกัน คิดแต่ว่าเหตุผลของตัวเองดีที่สุด ไม่ยอมฟังเหตุผู้อื่นว่าอาจจะดีกว่าของตัวเองก็ได้ บางครั้งเหตุผลของผู้อื่นจะดีเพียงไรก็ไม่ยอมรับฟังเมื่อมีอคติตั้งแต่ต้นคือ ไม่ใช่พวกของตัวเอง อยู่คนละแนวทาง ถ้าเมื่อไรคนในชาติมีแนวคิดแบบนี้ความวุ่นวาย ความสับสนก็เกิดมากขึ้นเพียงนั้น และที่อันตรายมากกว่านั้น นอกจากไม่มีเหตุผลให้ตัวเองแล้วยังยอมตามเชื่อตามผู้อื่นโดยไม่ได้พิจารณาเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้นของให้ได้ผลประโยชน์มากบ้างน้อยบ้างก็พร้อมที่จะเชื่อและปฏิบัติตามโดยไม่ได้พิจารณาเหตุผลของความถูกต้องดีงามเลยก็ว่าได้

มีลัทธิที่ถือเอาเหตุผลเป็นหลัก (rationalism) เชื่อว่าการได้มาซึ่งความรู้ผ่านทางการหาเหตุผล ด้วยแนวทางนี้ใช้วิธีหาเหตุผลนำไปสู่ความรู้ และกำหนดได้ว่าความรู้ที่ถูกต้องได้มาก็ต่อเมื่อใช้การหาเหตุผลที่ถูกต้อง ยังมีความเชื่อว่าความรู้ที่หามาจากการหาเหตุผลมีความถูกต้องเท่ากับหรือเหนือกว่าความรู้ที่ได้จากการสังเกตเสียอีก จากงานวิจัยโดย Johnson-Laird (1983) ได้เสนอแนะนอกจากจะขึ้นอยู่กับหลักสามัญการ (generalized principle)ของตรรกะแบบฉบับอย่างเดียว แล้วมนุษย์ยังใช้การลงความเห็นโดยสร้างรูปแบบในใจแทนปัญหาในบริบทเป็นรากฐานในการใช้รูปแบบนิรนัยที่มองภาพใหญ่ก่อนแล้วนำไปสู่ประเด็นย่อย

เมื่อมองว่าการหาเหตุผล(reasoning)ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่นั้นมีรากฐานมาจากปรัชญาวิทยาศาสตร์ ที่มีความเชื่อว่าความรู้ทุกอย่างยังมีข้อบกพร่องมากบ้างน้อยบ้างที่ยังใช้อยู่ได้ก็เพราะยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และความเชื่ออีกอย่างก็คือความคิดของผู้อื่นอาจจะดีกว่าถูกต้องกว่าถ้าได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วและแน่ใจว่าความคิดของผู้อื่นดีกว่าก็ยอมรับเอาความคิดใหม่ที่ดีกว่ามาใช้เสียเลย ด้วยหลักอันนี้ทำให้งานวิจัยทุกอย่างต้องมีการนำเสนอในที่ประชุมวิชาการเพื่อไปนำเสนอว่าได้มีความคิดที่ดีกว่าอย่างไร หรือไปฟังผู้อื่นว่ามีความคิดที่ดีกว่าอย่างไร จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยสรุปการมีแนวคิดทางปรัชญาวิทยาศาสตร์แล้วยึดเป็นแนวทางแล้วความวุ่นวายต่างๆ ก็อาจลดน้อยถอยลงไปความสมานฉันท์ก็ย่อมเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ดังนั้นการศึกษาของเราต้องเร่งสร้างแนวคิดตามแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์อย่างเร่งด่วน ได้เท่าใดก็ยิ่งทำให้สังคมเรากลับเข้าสู่ความสงบสุขมากเท่านั้น

การสอนเนื้อหาวิชา

ครูที่มีประสบการจะมีความรู้ในการสอนเนื้อหาต่างๆ นั้นประกอบด้วย

(1) ความรู้เกี่ยวกับบริบทสิ่งแวดล้อม สังคม การเมือง วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่นักเรียนได้รับคำถามเพื่อจะให้เกิดการเรียนรู้

(2)ต้องมีความรู้ด้านวิชาชีพครูด้านการสอน

(3)มีความรู้ในด้านเนื้อหาที่จะสอน (subject area knowledge)

(4)จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับนักเรียน ความสามารถของนักเรียน ยุทธวิธีการเรียนรู้ อายุและระดับการพัฒนาการ ท่าทีทัศนคติ การกระตุ้นปลุกเร้า และความรู้เดิมที่มีอยู่ก่อนของผู้เรียนเกี่ยวกับมโนทัศน์ที่จะสอน


ความรู้เกี่ยวกับการสอนเนื้อหาเป็นความรู้แบบที่ต้องมีเอกภาพอยู่ในครู ขึ้นอยู่กับลักษณะซึ่งตัวครูมีความสัมพันธ์กับวิชาชีพครูความรู้ด้านการสอน (ครูรู้อะไรเกี่ยวกับการสอน) กับความรู้เนื้อหาวิชา (ครูรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่จะสอน) เป็นการบูรณาการหรือสังเคราะห์ความรู้ด้านการสอนและความรู้ในเนื้อหาวิชา ที่ประกอบกันเป็นความรู้ในการสอนเนื้อหาวิชา Shulman (1986) ได้ให้แนวคิดอันเป็นตัวแทนแนวคิดการสอนดังกล่าว ที่มีผลสูงมากที่สุดคือ การเทียบเคียงอุปมา การสาธิต ยกตัวอย่าง การอธิบาย การสร้างสูตรแบบจำลองเนื้อหาที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ความเข้าใจว่าอะไรทำให้มโนทัศน์เฉพาะหนึ่งง่ายหรือยาก มโนทัศน์และมโนทัศน์ที่มีมาก่อนที่นักเรียนอายุแตกต่างกัน และพื้นฐานที่นำผู้เรียนไปสู่การเรียนรู้

วิธีท่องดิกชันนารี

การเรียนภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาของพ่อแม่เรา นั้นบางคนก็เรียนรู้ได้เร็วบางคนก็เรียนรู้ได้ช้า บางคนฟังภาษาต่างประเทศได้เร็ว เข้าใจสื่อความหมายได้เร็วบางคนสื่อความหมายได้ช้ากว่า ผมสังเกตตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มประเภทหลัง แต่เมื่ออยากเป็นนักเรียนนอกไปศึกษาต่อต่างประเทศก็จำเป็นต้องสอบภาษาอังกฤษ ให้ผ่านมิฉะนั้นเขาก็ไม่รับให้เป็นนักศึกษา จึงต้องหาวิธีการที่ต้องสอบให้ผ่าน



ด้วยความเชื่อว่ายิ่งรู้ศัพท์ภาษามากเท่าใดก็จะทำให้เข้า ใจภาษาเขาได้มากเท่านั้น นั่นก็คืออ่านภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้นถ้ารู้คำศัพท์มากก็พอจะเดาความหมายได้ ยิ่งประโยคหนึ่งไม่รู้หลายคำยิ่งเดาความหมายทั้งประโยคได้ยาก ด้วยสาเหตุนี้ผู้เขียนจึงได้เลือกเอาวิธีการท่องคำศัพท์ เพราะยิ่งรู้ศัพท์มากก็ยิ่งอ่านภาษาอังกฤษเข้าใจได้ง่ายขึ้น บางครั้งแม้จะฟังไม่ค่อนรู้เรื่องพูดก็ไม่ถูก แต่ก็เชื่ออีกลึกๆ ว่าถ้าได้ฟังออกว่าเป็นคำไหนตามที่ท่องมาแล้วละก็จะจำได้เร็วลืมช้าเพราะ ผ่านตามาแล้ว รู้ความหมายมาแล้ว


วิธีการที่ใช้คือการท่องดิกชั่นนารี ก็เปิดดิกชั่นนารีไปทีละหน้า ดิกชั่นนารีที่ใช้ท่องขณะนั้นชื่อว่า new standard english-thai dictionary by nit tongsopit ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยแพร่พิทยา ที่ว่าเปิดท่องไปทีละหน้านั้นยังมีวิธีการคือว่าถ้าคำไหนรู้แล้วก็ผ่านไปเลย แต่ถ้าคำไหนที่ดูเฉพาะคำด้านหน้าไม่รู้ความหมายและคิดว่าอยากจำให้ได้ใช้ ปากกาสีแดงขีดเส้นใต้ไว้คราวหน้าเมื่อเปิดดูก็จะดูเฉพาะที่ขีดสีแดงไว้ ไปไหนก็พกดิกชั่นนารีเล่มนี้ ขึ้นรถลงเรือก็เปิดมาดูได้ทำเช่นนี้จนขีดเส้นแดงได้หมดเล่มหลังจากนั้นก็ เปิดดูแต่ที่ขีดเส้นแดงถ้าเปิดดูอีกครั้งดูแต่ตัวภาษาอังกฤษถ้านึกความหมาย ได้ก็ผ่านไปที่คำขีดเส้นแดงอื่นต่อไปนึกความหมายถ้านึกได้ผ่าน เมื่อครบทุกหน้าก็มีการทวน ถ้าจำได้เกือบหมดแล้วไปสอบอีกครั้งหนึ่งคะแนนเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ได้คะแนนสูงพอที่เขารับเราเข้าเรียนได้ ใครจะนำวิธีการนี้ไปใช้ก็ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ครับ

แปรรูปมังคุดกันเถอะ

ในยามที่ผลผลิต มังคุดสูงมากจนล้นตลาดขณะนี้ จึงมีความคิดที่จะแปรรูปมังคุดในรูปแบบต่างๆ การแปรรูปที่เกี่ยวกับมังคุด บางอย่างเราสามารถทดลองทำด้วยตนเองได้ไม่ยาก เช่นในการนำไปทำเป็นมังคุดกวน และนำเนื้อมังคุดสดไปปั่นเช่นเดียวกับการทำผลไม้ปั่นอื่นๆ เพื่อการบริโภค นอกเหนือจาการแปรรูปเป็นสบู่ ไวน์ น้ำมังคุดคั้น


ในการทำมังคุดกวนนั้นให้กวนทั้งเมล็ด ซึ่งเมล็ดที่สุขให้ความอร่อยอีกรูปแบบหนึ่ง ในการกวนนั้นจะไช้มังคุดสุขประมาณ 30 กิโลกรัมจึงจะได้มังคุดกวน 1 กิโลกรม สีสรรของมักคุดกวนเป็นสีเข้มคล้ายกล้วยกวน แต่รสชาดดีกันคนละแบบ แต่ถ้าให้แน่ชัดว่ารสชาดดีแน่นอนก็โดยการนำไปทำเป็นมังคุดปั่น โดยเอาเนื้อมังคุดสดเลือกเฉพาะที่ไม่มีเมล็ดใส่ปั่นพร้อมน้ำแข็งปั่นใส่ น้ำตาลเล็กน้อย จะให้รสชาดและกลิ่นมังคุดที่ไม่เหมือนใคร ถ้าเทียบกับน้ำมะเขือเทศปั่นแล้วรับรองรสชาดดีกว่าแน่นอนลองดูนะครับ
ความจริงแล้วการแปรรูปมังคุดทำได้หลายรูปแบบบางแบบนั้นเราก็คุ้นเคยกันดี แต่อาจจะไม่ได้ทดลองใช้กัน เช่นสบู่มังคุดซึ่งมีจำหน่ายกันทั่วไป น่าจะช่วยกันอุดหนุนมากขึ้น แต่ที่ไม่แพร่หลายอาจจะยังไม่แน่ใจในเรื่องสรรพคุณที่ดีมีอะไรบ้างที่ ชัดเจน ซึ่งเฉพาะสบู่มังคุดตลาดในต่างประเทศเป็นที่นิยม จึงน่าจะส่งเสริมกันมาก ขึ้น การนำไปทำเป็นไวน์มังคุดซึ่งก็พอมีขายอยู่บ้างแต่น่าจะมีให้หลากหลายกว่า นี้ การทำน้ำมังคุดคั้นจำหน่ายเคยมีทำมาจำหน่ายอยู่พักหนึ่งแล้วก็หายไป น่าจะมีการทำต่อไปให้หลากหลายกว่านี้จะได้มีการแปรรูปมังคุดที่ล้นตลาดอยู่ ในขณะนี้

เรื่องของสัตว์เลี้ิยงลูกด้วยนม

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีเกือบทุกขนาด สีและรูปร่าง ช้างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกที่ใหญ่ที่สุด หนูก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เล็กที่สุดชนิดหนึ่ง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายคลึงกันบางอย่างที่สำคัญ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดมีขนหรือผม ตัวอย่างเช่น แกะมีขนเป็นลอนเรียกว่า วูลล์ (wool) อีกชนิดเจ้าตัววาลรัส (walrus) มีขนแข็งเรียกว่า หนวด (whiskers) สุนัขจิ้งจอกมีขนนุ่มเรียกว่า เฟอร์ (fur) ไม่ว่าวูลล์ หนวดและเฟอร์ เป็นชนิดของขนหรือผม ถ้าสัตว์ใดๆ ที่มีขนแล้วเรารู้ว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเมียสามารถสร้างน้ำนมที่ส่วน เฉพาะพิเศษของร่าง กาย นมเหล่านี้เป็นอาหารให้ลูกทารก ลูกวัว (piglets) ใช้อาหารจากนมแม่วัวเป็นหลัก ลูกทารกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมดื่มนมจากตัวแม่ และเรียนรู้ที่จะกินอาหารอื่นๆด้วย ไม่นานลูกวัวก็ไม่ต้องการนมจากแม่อีกต่อไป โดยเริ่มกินหญ้าได้เมื่อลูกวัวอายุมากขึ้น สำหรับขณะที่เพิ่งคลอดนั้นน้ำนมเป็นอาหารอย่างเดียวที่ลูกวัวต้องการ
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมดูแลลูกน้อยขณะที่ยังเล็กช่วยตัวเอง ยังไม่ได้ ตั้งแต่ให้อาหารเลี้ยงดู อาบน้ำทำความสะอาดให้โดยวิธีเลียด้วยลิ้น หมีขั้วโลกกอดลูกน้อยไว้และช่วยให้ร่างกายอบอุ่น สัตว์บางชนิดเช่นพวก anteater ซ่อนลูกของมันไว้บนหลังซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เกิดใหม่ต้องการความช่วยเหลือจากแม่เพื่อความ ปลอดภัยและให้อาหาร สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิดเติบโตอย่างช้าๆ และลูกน้อยต้องการแม่เป็นเวลานาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิดโตเร็วมาก และไม่นานสามารถดูแลตัวเองได้
ยกตัวอย่างแพะภูเขาสามารถวิ่งได้ง่ายดายบนหินภูเขาที่สูง ชัน ลูกตัวน้อยสามารถท่จะกระโดด คลานบนหินได้เพียง ชั่วโมงหรือสองชั่วโมงหลักจากคลอดลืมตามมาดูโลก ลูกแพะภูเขาจะอยู่กับแม่ประมาณหนึ่งปี มันสามารถเรียนรู้ที่ที่หาหญ้าและพืชอื่นเป็นอาหาร เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจากหมาป่า และใช้เวลาไม่นานที่จะมีชีวิตอยู่ได้บนภูเขา เช่นเดียวกับลูกเสีือลูกสิงโต เมื่อเพิ่งคลอดตัวเล็กและอ่อนแอ ลูกๆอยู่กับแม่ของมันตามลำพัง ประมาณสามสัปดาห์ในการดื่มนมและนอนหลับ ลูกๆเสือจะหลบซ่อนตัวขณะที่แม่ออกไปล่าเยื่อหาอาหาร เมื่ออายุครบแปดสัปดาห์ จะนำลูกตัวน้อยไปพักอยู่กับครอบครัวของเสือที่มีอยู่ด้วยเป็นครอบครัวเสือ ที่เรียกว่า ไพร์ด (pride) ในแต่ละครอบครัวดังกล่าวนั้นมีเสือตัวผู้โตเต็มวัยสองสามตัว ซึ่งมักจะมีลูกเสืออยู่ด้วยบ้าง ลูกเสือในช่วงนี้จะเติบโตขึ้นและแข็งแรงขึ้น สามารถที่จะวิ่ง กระโดด วิ่งไล่เล่นกันและกัน ฝีกหัดวิธีการไล่ล่าเยื่อโดยวิธีการเล่น โดยการเฝ้ามองเสือที่แก่พรรษากว่าล่าเยื่อ จนอายุประมาณสองปี เป็นเสือหนุ่มได้เรียนรู้การล่าเยื่อไปในตัว
เราอันเป็นคนทั้งหลายก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เด็กทางรกมีผมที่อ่อนนุ่ม เมื่อเด็กทารกหิวก็ดืิ่มนมจากมารดา เด็กทารกต้องการครอบครัวในการดูแล ขณะที่เด็กๆเติบโตขึ้นและเรียนรู้ และอยู่อาศัยภายในครอบครัวเป็นเวลาหลายปี

อันตรายจาก GMO


     เราคงเคยได้ยินว่าหลังจากยุคเทคโนโลยีสารสนเทศแล้วต่อไป จะเป็นยุคเทคโนโลยีชีวภาพ (BioTechnology) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตกแต่งพันธุกรรม (Genetically Modified Organism: GMO) ที่อ้างว่าสามารถที่จะตกแต่งพันธุกรรมให้ได้ผลผลิตสูง ไม่มีเชื่อโรคมารบกวนให้ทนต่อสภาพอากาศได้เป็นต้น ซึ่งการตกแต่งพันธุกรรม ดังกล่าว ก็ยังไม่ทันได้ศึกษาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น  ที่ว่าจะช่วยลดยาฆ่าแมลง และเพิ่มผลผลิตก็ไม่เป็นความจริง จากงานวิจัยก็พบว่าไม่ได้เพิ่มผลผลิตขึ้นตามข้อกล่าวอ้าง แม้ว่าจะมีแมลงบางชนิดไม่สามารถจะใช้พืชตัดแต่พันธุกรรมเป็นอาหาร แต่ทำให้ไปเป็นอันตรายกับพืชชนิดอื่น ที่ทำให้ต้องใช้ยาฆ่าแมลงมากขึ้น  และมีแมลงและหนอนบางชนิดพัฒนาขึ้นมาให้อยู่ได้กับพืช GMO พัฒนายาฆ่าแมลงชนิดใหม่  และพืชGMO ที่แมลงไม่แผ่วพาล ก็อาจตายหรือปรับตัวทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง อยู่ในภาวะได้อย่างเสียอย่าง
      เนื่องจากการตกแต่งพันธุกรรมมักจะมาจากการผสมข้ามพันธ์ อย่างรวดเร็วไม่ต้องรอวิวํฒนาการทำให้พืช GMO มักจะเป็นหมัน นำเมล็ดไปปลูกไม่ได้ต้องเป็นเมล็ดจากบริษัทผู้ผลิตเท่านั้นทำให้เกิดการผูก ขาดเกษตรกรอาจต้องซื้อเมล็ดพันธ์ในราคาแพงขึ้นภายหลัง นอกจากนี้เมื่อพืชพันธ์พื้นเมืองมีการปลูกน้อยก็อาจทำให้สูญพันธ์ได้ ทำให้ลดความหลากหลายทางชีวภาพไปอีก อาจมีส่วนทำลายห่วงโซ่อาหารของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
      การศึกษาวิจัยที่ยังไม่สมบูรณ์อาจเป็นไปได้ว่าพืช GMO ให้สารอาหาร สูตรโครงสร้างของสารอาหารที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่นถั่วเหลืองก็มีองค์ประกอบต่างไปจากถั่วเหลืองพันธ์ที่เคยปลูก จะมีส่วนต่อการนำไปใช้ของร่างกายอย่างไรยังไม่แน่ชัด  โดยสรุปพืชGMO อาจไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ทำให้เกิดโรคใหม่ๆ ที่ยากแก่การควบคุม และทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้นก็เป็นได้

ปรากฏการณ์แอลนิโญอันตรายอย่างไร

ตามแนวชายฝั่ง อเมริกาใต้ใกล้สิ้นปีปฏิทิน กระแสน้ำอุ่นที่ไม่ค่อนอุดมสมบูรณ์ มีสารอาหารน้อยในเขต tropical เคลื่อนลงทางใต้ แทนที่น้ำที่เย็นกว่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่ผิวหน้า เนื่องจากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณวันคริสต์มาส ผู้คนในท้องถิ่นจึงเรียกว่า แอลนิโญ (ภาษาสเปนแปลว่าเด็ก) อ้างถึงเด็กชาวคริสต์ ในเกือบทุกปีมีความอบอุ่นเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์  อย่างไรก็ตามเมื่อปรากกฏการณ์นี้คงอยู่ต่อเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้เกิดผลเสียหายทางด้านเศรษฐกิจจำนวนมาก การขยายช่วงเวลาที่อบอุ่นออกไปซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกในตอนนี้ว่าแอลนิโญ  ในระหว่างที่เกิดปรากฏการแอลนิโญเกิดความเสียหาย เพราะปลาจำนวนมาก และพืชทะเลหลายอย่างไม่อาจอาศัยอยู่ได้อาจตายไป  การย่อยสลายชีวิตที่ตายไปในระหว่างนั้นทำให้จำนวนออกซิเจนลดน้อยลง  ทำให้เกิดผลผลิตจากแบคทีเรียปริมาณสูงมากคือกลิ่นของไฮโดรเจนซัลไฟล์ ทำให้ลดจำนวนปลาลงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพวก anchovy ทำให้ผลผลิตอาหารจากปลาของโลกลดลงจำนวนมาก ส่งผลทำให้สัตว์ปีกทั้งหลายราคา สูงขึ้นด้วยเพราะต้องใช้ปลาเป็นอาหารในการเลี้ยงสัตว์ปีกเหล่านั้น
จากการศึกษาเปิดเผยให้ทราบถึงแอนนิโญไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว ที่เป็นส่วนของรูปแบบการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนกระแสน้ำในมหาสมุทร และบรรยากาศ ปรากฏการณ์แอนนิโญในปี 1986-1987 เป็นช่วงที่มีภูมิอากาศที่แล้วร้ายชั่วหนึ่งในศตวรรษที่ 20 ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์และองศาของความอุ่นที่เพิ่มขึ้น แอลนิโญในปี 1986-1987 จะเป็นส่วนที่มีการบันทึกถึงภาวะโลกร้อนในปี 1987 ที่โลกร้อนที่สุดในรอบ 100ปี ปรากฏการณ์นี้จะน่าจะเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน

อันตรายที่ไม่เจ็บ

การ ที่เรารู้สึกเจ็บเป็นกลไกในการป้องกันตัวอย่างหนึ่งเมื่อรู้สึกเจ็บก็จะทำ ให้ถอดหนีห่างออกไปจากสิ่งที่จะทำให้เป็นอันตราย เช่นรู้ว่าแตะของร้อนหรือโดนไฟจะเจ็บปวดแสบ ทำให้เราไม่ไปแตะสิ่งที่ทำให้เกิดอันตรายได้ บางคนบอกว่าไม่เจ็บเสียเลยดีกว่า แต่ในบางกรณีการไม่เจ็บก็เป็นอันตรายถึงตายได้ คนไม่รู้สึกเจ็บเมื่อโดนไฟเผาไม่รู้สึกร้อนหรือเจ็บ ขาหักก็ไม่เจ็บ เป็นไส้ติงอักเสบก็ไม่เจ็บปวดเลย ซึ่งแต่ละอาการก็ทำให้ถึงตายได้ การไม่เกิดความเจ็บเป็นสิ่งผิดปกติอาจเนื่องมาจากเป็นโรคชนิดหนึ่ง  ที่ทำลายประสาทรับความรู้สึก
การไม่เจ็บปวดบางอย่างเช่นในกรณีที่ปลายนิ้วเท้าไม่มี ความรู้สึก ดังเช่นในคนที่เป็นโรคเบาหวานก็ทำให้แผลเปื่อยอาจจะต้องตัดนิ้ว ตัดขาในที่สุด  หรือในบางคนที่เป็นมะเร็งเต้านมในก้อนมะเร็งจะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือชา ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีก็ทำให้เชื้อมะเร็งลุกลามยากต่อการรักษาภายหลัง ได้ และที่แน่ๆ การที่รู้สึกเจ็บทำให้เรารู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่
sick1.jpg

ประโยชน์ของมะรุม

มะรุมมีประโยชน์ทั้งในแง่ที่เป็นอาหารที่มีประโยชน์และมีตัวยาสำคัญที่ช่วยบำบัดและบรรเทาโรคหลายอย่าง รวมทั้งใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ
ประการแรกที่กล่าวว่าการปลูกมะรุมเหมือนกับย้ายโรงพยาบาล มาไว้ในบ้าน ทั้งนี้ก็เพราะสามารถ บำบัด บรรเทาในการรักษาโรคต่างๆ ได้หลากหลายมากที่สุด เท่าที่รวบรวมมาดังนี้
-หายจากโรคเบาหวานเมื่อรับประทานใบมะรุมเป็นประจำ
-ช่วยลดความดันโลหิตสูง เสริมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
-สร้างภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานให้ร่างกายให้กับผู้ป่วยโรคหวัดและโรคเอดส์มากขึ้น
-ป้องกันและบรรเทาโรคมะเร็ง รักษาก้อนเนื้อในเต้านม
-ช่วยลดการแพ้รังสี เมื่อดื่มน้ำมะรุม
-บรรเทาอาการปวดบวมของโรคเก๊าท์ โรคไขข้อและโรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก
-ช่วยเชื่อมต่อกระดูกที่หักได้ผลเร็วขึ้น
-ช่วยรักษาโรคตาได้เกือบทุกชนิด รวมทั้งโรค กลูโคม่า
-รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคพยาธิลำไส้
-ช่วยให้ปอดแข็งแรง บำบัดโรคปอดอักเสบ
-รักษาโรคทางเดินหายใจอักเสบ โพรงจมูกอักเสบ
-บำบัดโรคหอบหืดและโรคภูมิแพ้ ไม้เป็นไข้หวัด ลดอาการปวดศีรษะ
-ป้องกันโรคท้องเดินได้เมื่อเคี้ยวเม็ดมะรุม
-แก้อาการไอเรื้อรังได้
-รับประทานเม็ดมะรุมก่อนนอนช่วยขับถ่ายในตอนเช้า และยังช่วยขับถ่ายพยาธิ
-รักษาอาการอักเสบอันเนื่องจากแก้หูทะลุฉีกขาด
-รักษาโรคน้ำกัดเท้า โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา โรคพยาธิไชเท้า ทาด้วยน้ำมันมะรุมก่อนไปย่ำแช่น้ำ
-รักษาโรคคอหอยพอกชนิดมีพิษ
-รักษาโรคเชื้อราบนหนังศีรษะ ลดอาการผมร่วง ลดอาการคันศีรษะ
-บำบัดรักษาแผลเปื่อยเรื้อรังในคนชรา รวมทั้งรักษาแผลมีดบาดเล็กๆ น้อยๆ
-ช่วยให้ผิวหนังแห้งกลับชุ่มชื้น อ่อนนุ่มขึ้น ชลอความเหี่ยวย่นของผิว
-ลดอาการพื้นคันตามผิวหนัง และการแพ้ผ้าอ้อมเด็ก
-รักษาแผลในปาก แผลปากนกกระจอก
-น้ำมันนวดบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามส่วนของร่างกาย นวดกระชับกล้ามเนื้อ
-ลดการเกิดสิวบนใบหน้า
-ถอนพิษแมลง สัตว์กัดต่อย ช่วยให้หายปวดจากพิษ
-เปลือกสับเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปทำลูกประคบลดอาการบวมช้ำ ปวดเมื่อย

สำหรับคุณค่าทางโภชนาการในปริมาณเท่ากัน มีแคลเซี่ยมและโปรตีนสูงกว่านม มีโปแตสเซี่ยมสูงกว่าในกล้วย มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าแครอท มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม
การนำไปใช้ด้านอื่นเช่นเมล็ดมะรุมบดละเอียดนำไปกรองน้ำ ฆ่าเชื้อโรค ทำให้น้ำตกตะกอน ฆ่าเชื้อโรคได้เกือบร้อยเปอร์เซ็น ฝักมะรุมแก่ทุบไปแก่วงในน้ำ ทำให้น้ำสะอาด หรือเอาผ้าห่อผงมะรุมแก่งในน้ำฆ่าเชื้อโรค หรือทำให้นำหายกร่อย  นอกจากนี้น้ำมันมะรุมใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นได้ดี ทำให้สิ่งของไม่เป็นสนิม เช่นเป็นน้ำมันล่อลื่นเฟืองนาฬิกาได้ดีที่สุด
อ้างอิง  มะรุมต้นไม้เพื่อชีวิต รวบรวมโดย วิไลวรรณ อนุสารสุน

Wednesday, September 23, 2009

ลักษณะของวัฒนธรรมตะวันตกที่มีผลต่อสังคมไทย

ด้วยลักษณะของอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่แฝงมาในรูป ต่างๆ ตามสื่อมวลชนภาพยนต์ ซึ่งเราบริโภคอยู่จนคิดว่าเป็นวัฒนธรรมสากล จนหลงไปว่าเป็นอารยธรรม จนทำให้เราหลงลืมภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ดีงามไป และมีอิทธิพลต่อวิธีคิดวิธีทำงานของพวกเราเป็นอย่างมาก จนยากที่จะถอนออกไปได้  ซึ่งพอสรุปเป็นเรื่องหลักๆ ได้ 3 ประการคือ ความเป็นปัจเจกบุคคล  การแข่งขัน และการมองโลกแบบเครื่องจักร


ความเป็นปัจเจกนำไปสู่การเห็นแก่ตัวขาดความสัมพันธ์กับ สิ่งรอบตัว ทำให้ไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นไม่สามารถที่จะรวมพลังกันที่จะทำ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้น การแข่งขันที่ไม่ใช่เฉพาะแข่งดี แต่เป็นการแข่งกันทำลายล้างกันในขณะเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากความพยายามที่จะพิชิตโลกที่จะเป็นหนึ่งอันก่อให้เกิดการ ทำลายสิ่งแวดล้อม เบียดเบียนเพื่อมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว และการมองโลกแบบเครื่องจักร ที่คิดให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องจักรที่ควบคุ้มด้วยกฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ แบบนิวตัน ซึ่งก่อให้เกิดความซับสนและความขัดแย้ง ไม่สามารถที่จะเห็นถึงผลกระทบในองค์รวม และความสัมพันธ์เชื่อมโยง ซึ่งสิงที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งก็คือเราไม่สามารถที่จะอยู่ในโลกนี้ได้ อย่างมีความสุขและสมานฉันท์


ด้วยแนวคิดตามความเชื่อดังกล่าวยังคงมีอิทธิพลต่อสังคม และองค์กรอยู่ทุกหัวระแหง ทำให้ยิ่งมีการพัฒนาก็ยิ่งก่อให้เกิดปัญหาในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องมากมาย และก็ยังคงดำรงสภาพนี้ต่อไปถ้าหากไม่ทำอะไรที่จะแก้ปํญหา ผู้นำจะต้องออกมาช่วยเหลือในส่วนนี้  โดยสร้างการมีส่วนร่วม และสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น  ผู้นำอย่างได้เป็นปํญหาเสียเอง ซึ่งทุกวันนี้ผู้นำยุคปัจจุบันยังคงวนเวียนกับการที่ไม่รู้ว่าจะทำงานร่วม กันอย่างไร การจัดหาสรรหา สิ่งที่จำเป็นและต้องการอย่างรวดเร็วได้อย่างไร และจะทำงานให้บรรลุผลตรงตามจุดประสงค์เป้าหมายได้อย่างไร เราต้องเปลี่ยนแนวคิดจากสิ่งที่ทำให้เราอยู่แยกกัน และแบ่งแยกทุกสิ่งทุกอย่าง ให้มีพฤติกรรมองค์กรใหม่อย่างเร่งด่วน ในการเรียนรู้ การทำงานร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง เปลี่ยนการมองแบบเครื่องจักรมาเป็นแนวคิดที่ยืดหยุ่น

สมุนไพรลดความดันสูง

วันนี้ได้ข่าวว่า ญาติผู้หนึ่งล้มป่วยด้วยเส้นเลือดในสมองแตกทำให้เป็นเจ้าชายนิทรา ต้องผ่าตัดเอาเลือดที่ตกค้างในสมองออก แต่ก็ไม่ได้ช่วยมากนักกลายเป็นคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ประสาทส่วนที่ควบคุมคงเสียไป  จึงเป็นข้อสังวรณ์สำหรับคนที่มีความดันสูง ที่จะต้องลดให้อยู่ในระดับปกติ โดยวิธีที่ทุกคนสามารถทำได้โดยอาศัยสมุนไพรที่เป็นอาหาร  ซึ่งจะช่วยป้องกันสำหรับคนที่มีความโน้มเอียงที่มีความดันสูง  อาหารสมุนไพรที่ช่วยในการลดความดันสูงได้มีดังนี้
  • กระเทียม
  • คื่นฉ่าย เอาต้นสดมาตำค้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือต้นสดตำให้ละเอียดต้มกับน้ำ กรองเอากากออก  หรือกินเป็นผักสดผสมอาหาร
  • กาฝากมะม่วง นำมาตากแห้งต้มน้ำดื่มต่างน้ำชา
  • กระเจี๋ยบแดง  นอกจากช่วยลดความดันแล้วนี้ยังช่วยลดคลเลสเตอรอลได้ ขับปัสสาวะแก้นิ่ว ลดไข้
  • บัวบก นอกจากช่วยลดความดันโลหิตสูงยังเป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย ช่วบขับปัสสาวะ 
  • ขิง ขี้เหล็ก ผักชี ผักชีฝรั่ง มะขาม แมงลักต่างก็ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ย้อนรอยอดีตเมืองนคร

วันนี้ได้สนทนา กับผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติเมืองนครอย่างแตกฉานคนหนึ่ง ซึ่งท่านแสดงความคิดเห็นหลายอย่างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองนครศรี ธรรมราช ที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เขียนได้เสนอไว้ในย้อนรอยอดีตจตุคามรามเทพ ว่าเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ศาสนาพุทธไปยังอินโดนีเซียดังหลักฐาน บรมพุทโธ (บอริบุโดในภาษาอินโดนีเซีย) และเกี่ยวพันธ์กับกษัตริย์ผู้สร้างนครวัดนครธม (นครธมเป็นศิลปะแบบบายน) ได้รับอิทธิพลการสร้างปราสาทมาจากบรมพุทโธ เพราะเจ้าผู้ครองนครเขมรและอินโดนีเซียเป็นญาติกัน

จากหลักศิลาจารึกที่วัดเสมาเมืองที่บ่งบอกถึงการตั้งอาณาจักรศรีวิชัย นั้น  ยังมีปัญหาอยู่ว่าเป็นหลักศิลาที่อยู่ที่นครมาดั้งเดิมหรือไม่  อาจเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่นทั้งนี้เพราะหลักฐานแวดล้อมที่พบนั้นมีน้อย ต่างกับหลักศิลาจารึกที่เรียกว่ามเหยงค์ไม่ใช่ศิลาจารึกที่อยู่ที่วัด มเหยงค์ตำบลท่าวัง แต่อยู่ที่ท่าศาลา ที่แหล่งโบราณคดีโมคลาน ที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในด้านศิลปกรรม สอดคล้องกันที่พบที่วัดนางพระยา วัดพระเวียง วัดท้าวโคต วัดสวนหลวง และอื่นๆ ในแง่ศิลปะ ที่น่าจะเป็นชุึมชนชาวขอมโบราณ  และที่วัดนางพระยาถ้าสืบสาวราวเรื่องไปแล้วเกี่ยวข้องกับกษัตริย์เขมรสมัย พระเจ้าชัยวรมัน และมีเรื่องราวเกี่ยวกับจตุคามรามเทพมาก่อนแล้ว

ส่วนในเรื่องที่เกี่ยวกับศรีลังกานั้นมีหลักฐานจากพระสิหิงค์ พระบรมธาตุเจดีทรงลังกาแต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในแง่ของศิลปะแถบไม่มี จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่หลักฐานต่างๆ ที่พบมาจากศรีลังกา แต่ถ้าดูหลักฐานทางด้านศิลปะ ที่พบได้หลายจุดในเมืองนครศรีธรรมราชนั้น มีส่วนของศิลปะแบบบายนของเขมรเป็นหลักฐานที่ชัดเจนกว่า  อย่างไรก็ตามการสร้างโบสถ์วิหารนั้นสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาไม่ได้สร้างตามแบบ ขอมหรือเขมร แม้ว่าในสมัยพระเจ้าปราสาททองจะได้เคยไปตีอาณาจักรเขมรสำเร็จและได้นำ อารยธรรมเขมรมาสร้างปราสาทไว้บ้างก็ตาม
จะเห็นว่ายิ่งติดตามประวัติศาสตร์เมืองนครจะพบส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์คือ มีหลักฐานแวดล้อมที่น่าเชื่อถือนั้นมีไม่มากจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราไม่ได้ เรียนรู้อาณาจักรศรีวิชัยว่ามาเกี่ยวพันธ์กับเมืองนครศรีธรรมราชตรงไหน อาณาจักรขอมแผ่อิทธิพลลงมา หรือว่าเป็นพวกขอมที่ถูกกวาดต้อนมาก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่การย้อนรอยศึกษาที่ไปที่มาแล้วเราจะได้อะไรดีๆ ทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงทิ้งไว้ให้พวกเราอย่างคาดไม่ถึงเช่นเดียวกับองค์ จตุคามรามเทพ

แข่งขันนกกรงหัวจุกกันอย่างไร

ได้มี โอกาสเข้าร่วมสังเกตการจัดแข่งขันนกกรงหัวจุกซึ่งจัดโดยคณะวิทยาการจัดการ นับเป็นครั้งแรกที่จัดโดยคณะฯ โปรแกรมการจัดการทั่วไป เมื่อเข้าบริเวณแข่งขันจะได้ยินเสียงนก ดังไปทั่วงานได้บรรยากาศสำหรับคนชอบฟังเสียงนก การจัดแข่งขันครั้งนี้ผู้ส่งนกเข้าแข่งขันก็คงมีค่าสมัคร ส่วนรางวัลก็มีถ้วยรางวัลเกียรติยศ และของขวัญรางวัลมากมาย ซึ่งรวมทั้งของขวัญหมายเลขหางบัตร ที่น่าสนใจก็คือว่าพระเอกของงานคือนกมีการฝึกซ้อมเตรียมตัวกันมาดีก่อนแข่ง ขัน กติกาการแข่งขันที่น่าสนใจ

นก กรงหัวจุกเป็นนกขนาดเล็กกว่านกเขา หัวเป็นขนพู่ขึ้นเป็นสองแนว ที่แก้มหรือใกล้กับหูจะมีสีส้มหรือแดงเป็นแถบเล็กๆ เป็นลักษณะประจำตัวของนกทีเดียว แต่นกที่เข้าแข่งขันล้วนเป็นนกตัวผู้ทั้งสิ้น เป็นนักร้องเสียงดีแข่งกัน เพราะอะไรคงไม่ต้องอธิบาย
การ แข่งขันจะใช้กรรมการในการฟังเสียง โดยการแข่งขันจะแบ่งเป็น 4 ยก 8 ดอก คำว่าดอกนั้นคือเสียงนกที่เข้าหูกรรมการว่าเป็นเสียงที่ต้องการคือเสียงร้อง ลากยาวหนึ่งครั้งเรียกว่าดอกหนึ่ง ในแต่ละยกจะใช้ภาชนะคล้ายกะลาเจาะรูตรงกลางถ่วงน้ำหนักนำไปลอยในโถแก้วใหญ่ ใส่น้ำไว้ เมื่อน้ำเข้ามาเต็มภาชนะจะจมลงก้นโถแก้วนับเวลาได้ประมาณ 25 วินาทีช่วงที่กรรมการเข้าไปดูนั้น เจ้าของนกต้องเชียร์ให้นกร้องหรือขัน จะได้ดอกในแต่ละยกอาจได้หลายดอก แข่งกัน 4 ยกจะเข้ารอบได้ต้องได้ 8 ดอก หลังจากนั้นนกที่เข้ารอบต้องมาแข่งกันในรอบต่อไปเพื่อหาตัวที่ขันได้ชนะเลิศ และรองต่อไป
การแข่งขันจะสนุกเร้าใจก็ตรงที่ กรรมการไปฟังเสียงนกนี่แหละ ที่กรงนกจะมีผ้าคลุมกันแดด เพราะถ้านกโดนแดนจัดร้อยอาจเหนื่อยง่ายขันไม่ออก หรือไม่ตอนกรรมการเข้าไปฟังเสียงอาจตื่นเต้นไม่ยอมขันก็แพ้ได้เพราะไม่ได้ ดอก  อย่างไรก็ตามเจ้าของนกที่ฝึกมาดี เตรียมตัวกันมาดีสามารถจูงใจให้นกขันเมื่อไรก็ได้ พูดง่ายๆ ว่ารู้ใจกันก็ว่าได้ 
จะว่าไปแล้วการใช้คนเป็นกรรมการใน การฟังเสียงก็อาจใส่ความรู้สึกเข้าไปบ้างในแต่ละคนฟังไม่เหมือนกันก็อาจ ตัดสินผิดพลาดได้  ทำให้นึกไปในเรื่องการชิมไวน์ที่ยังต้องใช้คนชิม แต่ตอนหลังหาคนชิมไวน์ที่ได้มาตรฐานที่ชำนาญจริงๆ ไม่ค่อยได้  จึงมีคนคิดเครื่องชิมไวน์โดยไม่ต้องใช้คนได้แล้ว แต่ให้ได้รสชาดเหมือนเดิม  ในกรณีของเสียงนกก็เช่นเดียวกันผูเขียนพอมีความรู้เรื่องเสียงทางฟิสิกส์ อยู่บ้างถ้าใครต้องการดูรูปคลื่นเสียงของนก ว่าเสียงสูงต่ำระดับเสียงเป็นอย่างไรให้อัดเสียงนกมา หรือให้นกมาขันที่ไมโครโฟนเท่านั้น แล้วต่อเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ดูรูปคลื่นเสียงได้ทันที ใครอยากได้รูปคลื่นเสียงนกว่าเป็นอย่างไรติดต่อได้ที่คณะวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี โดยพิมพ์เป็นภาพกราฟิกให้ดูได้เลยครับ

ความหมายการศึกษา

เราจะทราบความหมายของการศึกษาได้จากประโยคง่ายๆ ที่ว่า "การศึกษาคืออะไรที่เหลืออยู่หลังจากที่เราลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เรียน รู้มา" เพื่อชี้ให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องใดบ้าง พิจารณาสิ่งที่เกี่ยวข้องโยงใยกัน 6 อย่างคือ

1) การเปลี่ยนความหมายประสบการณ์ของมนุษย์ 2) โดยเข้าไปแทรกแซงในชีวิตความเป็นอยู่ของคน 3) ด้วยสื่อและประสบการณ์ที่มีความหมาย 4) ที่ตรงกับเกณฑ์เพื่อความเป็นเลิศที่เหมาะสม 5) ทั้งนี้เพื่อพัฒนา การคิด ความรู้สึก และการกระทำ 6) เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจในประสบการณ์ของมนุษย์
จากนี้จะเห็นว่าการศึกษา ตั้งแต่ที่บ้าน กลุ่มคนเป็นสังคม ถนนหนทาง สื่อมวลชนทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์ ชุมชน วัฒนธรรม และโรงเรียน ได้เข้าไปแทรกแซงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ที่ไม่มีทิศทาง ไม่มีวัตถุประสงค์ โดยไม่ตั้งใจพลั้งเผลอ แต่ในอีกทางหนึ่งก็ด้วยความตั้งใจมีจุดมุ่งหมาย

การที่การศึกษาเข้าไปแทรกแซงนั้นได้เปลี่ยนแปลงและปรับ รูปแบบของคน ในแนวทางที่เราคิด รู้สึก และการกระทำ  นั่นก็คือได้เปลี่ยนความหมายประสบการณ์มนุษย์ สร้างความเชื่อมโยงระหว่างปัจจุบันกับอนาคต อันมีเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ความจริงที่จะเป็นหลักการ ความหวังที่เป็นความทรงจำ นำวัตถุและเหตุการณ์ที่โดดเดี่ยวกลายมาเป็นมโนทัศน์

ส่วนการจัดให้เข้าสู่เกณฑ์บางเกณฑ์ของความเป็นเลิศ ด้วยคุณค่าของวัตถุประสงค์และความตั้งใจ ไม่ชักจูงด้วยลัทธิ ไม่ทำให้ไม่ตาย  ไม่ทำให้ไม่เป็นไปตามหลักจรรยา ไม่ทำให้ไม่มีศิลธรรมอันดี ไม่ทำให้เป็นผู้ต่อต้านสังคม

สำหรับประสบการสื่อวัสดุที่มีความหมาย ทำให้เรียนรู้ได้อย่างมีความหมาย รับรู้อันเป็นสิ่งสำคัญยิ่งโดยผู้เรียน  เชื่อมโยงกับสิ่งที่ผู้เรียนรู้แล้ว มีเหตุผลทางจิตวิทยาที่ติดต่อกันดี ในเรื่องการสนใจในตนเอง การกระตุ้นปลุกเร้า การเชื่อมต่ออย่างใกล้ชิดทางกายภาพ

ทฤษฎีกับการวิจัย

การสังเกตการณ์ที่ใช้วิธีการทางวิทยา ศาสตร์ นำไปสู่การสร้างทฤษฎีขั้นต้น ที่สามารถนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์และการพยากรณ์ที่ทฤษฎีทำให้มีขึ้น ซึ่งโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีการทดสอบการทำนายหรือพยากรณ์ดังกล่าว ถ้าการพยาการณ์ได้รับการยืนยันในการทดสอบแล้ว ชี้ให้เห็นว่าทฤษฎีมีประโยชน์ใช้ในปรากฏการณ์หนึ่งๆ ได้ แล้วยังนำไปสู่การสร้างทฤษฎีที่สมบูรณ์ขึ้นซึ่งยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เสมอ ถือเป็นทฤษฎีขั้นต้นใหม่  ในอีกทางหนึ่งเมื่อการทดสอบการพยากรณ์ไม่ผ่าน ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าทฤษฎีไม่ถูกต้อง และนำไปสู่การสร้างทฤษฎีขึ้นใหม่ขั้นต้นอีก

ในการหาเหตุผลของมนุษย์ JohnsonLaird (1983) ได้แนะไว้ว่าแทนที่จะขึ้นอยู่กับหลักสามัญการของตรรกะทั่วไป มนุษย์ยังได้ลงความเห็น(inference) โดยการสร้างรูปแบบปัญหาในความคิด (mental representation of problem) ในบริบท ให้เป็นพื้นฐานสำหรับการทำนิรนัยต่อไป ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของทฤษฎี จากประสบการณ์ของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องไม่เฉพาะการคิดการกระทำแต่รวมไปถึงความ รู้สึก

การเข้าใจผิดมโนทัศน์และทฤษฎีเปียอาเจต์

เมื่อคนเราเข้าใจอะไรมาผิดๆ แล้วยังยึดติด ยึดถือสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้น แล้วคิดว่าถูกต้องด้วยมีความเชื่ออย่างหนักแน่น เปรียบได้เหมือนกับการถูกล้างสมองแล้วใส่ความคิดที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวลงไป จนยากที่จะถอดหรือเปลี่ยนความเชื่อความคิดดังกล่าว  ที่กล่าวมาแล้วนั้นหมายถึงมโนทัศน์ที่มีอยู่ก่อนแล้วเป็นอย่างไร สำหรับนักเรียนทุกวัยยึดเหนี่ยวอยู่กับคำอธิบายที่ทำให้เข้าใจสำหรับพวกเขา และต่อต้านเรื่องใหม่หรือแนวคิดที่แตกต่างออกไป  ตรามเท่าที่ความคิดเดิมที่มีอยู่ยังใช้งานได้อยู่
เมื่อเราท้าทายเด็กนักเรียนต่อการที่เขายังเข้าใจผิดมโนทัศน์อยู่  เพื่อให้เขากลับมาเข้าใจมโนทัศน์ที่ถูกต้องเราต้องทำมากกว่าการเพียงให้ ประสบการณ์ในการลงมือปฏิบัติ เรายังจำต้องให้ผู้เรียนต้องคิดทำความเข้าใจให้สมองทำงาน (brain on)  โดยให้ประสบการณ์ลงมือปฏิบัติซ้ำๆ คล้ายคลึงกัน  ให้สำรวจเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไม่ลงรอยกัน และการอภิปรายถึงความชอบความประทับใจ และแนวความคิดที่ไม่ถูกต้อง  การกระทำในลักษณะนี้เราจะจัดหาเส้นทางตรงๆ ที่สามารถจะเข้าใจได้สำหรับเด็กๆ ที่จะสร้างมโนทัศน์ได้อย่างละเอียดถูกต้องมากขึ้น

ข้อตกลงเบื้องต้นภายใต้ทฤษฎีของเปียอาเจต์ในการพัฒนาการทางสติปัญญา ก็คือสิ่งมีชีวิตไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์จะมีโอกาสที่จะอยู่รอดได้ ถ้าสามารถจัดการสร้างระเบียบแบบแผนขึ้นในท่ามกลางประสบการณ์  เมื่อเราตัดสินใจว่าจะกระทำอย่างไร เราทำภายใต้ฐานของอะไรที่เรารู้มาแล้ว ไม่ได้อยู่บนฐานว่าโลกอาจจะเป็นอะไรโดยตัวเอง  ความเข้าใจเป็นบางสิ่งที่เราทุกคนจะต้องสร้างขึ้นสำหรับตัวเราเอง

อาการคิด (operation) ตามทฤษฎีของเปียอาเจต์เป็นผลพวกของการสะท้อนการคิดและการเข้าใจเชิงนามธรรม คำว่าสะท้อนความคิด (reflection) มีความหมายหลักสองอย่างในการใช้ในภาษาอังกฤษตามปกติธรรมดา อย่างแรกหมายถึงกิจกรรมทางจิต (mental activities) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนให้เกิดการคิดที่รู้สำนึก (conscious thought) นั่นคือไม่ได้ต่างไปมากจากการพิจารณาไตร่ตรอง (pondering)
อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของอารมณ์ความรู้สึก  หรือการกระทำที่เคลื่อนไหว (motor action) หรือตัวแทนองค์ประกอบเช่นนั้น อันแสดงรูปร่างหรืออุปมาที่เหมือนกับการอาการทางจิตที่ ให้ความสัมพันธ์ ประสานงาน ให้ข้อสรุป ดังที่นักปรัชญาบางคนกำหนดลักษณะสั้นๆ ว่าเป็นอาการทางจิต (operation of mind)

ตามทัศนะการสร้างความรู้ (constructivist) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำและเข้าไปเกี่ยวข้อง ได้แก่กิจกรรมต่างๆที่จะต้องทำให้บุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานะการณ์แวด ล้อมทั้งหมด อันเป็นประสบการณ์ของบุคคลดังกล่าว  ในเทอมของเปียอาเจต์ เป็นกระบวนการโดยวิธีการที่มโนทัศน์และชนิดมโนทัศน์เช่นนั้นจะได้การสรุป เชิงประจักษ์ นั้นเท่ากับกล่าวได้ว่าเป็นข้อสรุปจากประสบการณ์จากประสาทสัมผัส และกระทำเคลื่อนไหว (sensory and motor) ส่วนข้อสรุปจากการสะท้อนความคิดเกี่ยวข้องกับรูปแบบที่หาได้จากการกระทำและ การคิดจากใจ

ความเข้าใจกับการเรียนรู้

ในการดำเนินชีวิตประจำวันเกี่ยวข้องกับการรู้ (to know) และการรับรู้ (perception) โดยมีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เรียกว่าอายตนะ และใจเป็นตัวรู้อารมณ์ และนำไปสู่ความรู้สึกและความเข้าใจ ดังนั้นการแสดงอาการความเข้าใจ โดยการตอบรับด้วยอาการ ผยักหน้า หรือส่งเสียงบอกให้ทราบอย่างใด อย่างหนึ่ง ครับ คะ โอเค ในภาษาอังกฤษ ก็คือ yes , ok, I see , I get ที่กล่าวมาเป็นการรับรู้และเข้าใจ อาจจะมาจากคำถามว่า รู้เรื่องไหม เข้าใจไหม รู้หรือเปล่า ซึ่งบางครั้งมีความหมายไปในทางที่การรู้อย่างเดียวก็อาจไม่เข้าใจก็ได้ เช่นรู้แต่ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ ดังนั้นความเข้าใจจึงมีหลายระดับ I see อาจเป็นความเข้าใจที่ผิวเผิน กว่า I get

ยังมีความเข้าใจที่นำมาใช้เป็นทางการมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่คำว่า comprehension กับคำว่า understanding เป็นคำที่มีความหมายเดียวกันแต่คำว่า understand จะใช้ในภาษาพูดมากกว่า comphehension นั้นเป็นการสร้างความหมาย (construction of meaning) ในแง่นี้การสร้างความหมายของแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันไปก็คือเข้าใจแตกต่างกันไปด้วยในแต่ละคน ส่วนคำว่า understanding เป็นความเข้าใจที่ต้องใช้ความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วมาช่วยในการสร้างความรู้ใหม่ที่มีความหมายไปไกลกว่าสารสนเทศที่ให้มาหรือที่ได้รับมาและความรู้พื้นฐาน (ความรู้ที่มีอยู่เดิม) ซึ่งนำมาเป็นหลักฐานในการสร้างความรู้ใหม่มากกว่าที่จะดึงเอามาจากความจำประจำตัว
จากที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นว่าการเข้าใจนั้นมีความหมายใกล้เคียงกับการเรียนรู้ นั่นก็คือคนจะเข้าใจอะไรได้ก็ต้องเกิดการเรียนรู้ก่อน ทั้งที่เรียนรู้มาแล้ว และเพิ่งเกิดการเรียนรู้ใหม่ การเรียนรู้โดยทั่วไปจะหมายถึงกระบวนการสร้างความรู้ขึ้นมาตลอดเวลา จากความรู้ที่มีอยู่เดิม ไม่ใช่เป็นเพียงการบันทึกความรู้หรือ ดูดซึมเอาความรู้เข้าไว้ การเรียนรู้จึงขึ้นอยู่กับความรู้ (knowledge dependent) ที่คนเราสร้างความรู้ใหม่ขึ้นจากความรู้ปัจจุบัน (current knowledge) หรือความรู้ที่มีอยู่เดิม และจะเกิดการเรียนรู้ได้ดีก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ด้วยความอยากรู้ หรือสร้างความหมาย สร้างความเข้าใจตามที่ต้องการนั่นเอง

constructivism

constructivist พิจารณาให้เป็นทฤษฎีของการเรียนรู้และการสอน มากกว่าจะเน้นย้ำไปที่ความซับซ้อนของโลกแห่งความเป็นจริง และโครงสร้างทางความรู้ด้านต่างๆ ที่ยังไม่ดีนัก  constructivist เกี่ยวข้องกับวิธีการสอน และยืนยันว่าไม่มีการเรียนรู้ที่เป็นการค้นพบในความเข้าใจที่จะเผยให้ทราบ หรือเหมือนกับถอดหน้ากากของโครงสร้างภายนอก  แบบฉบับของกระบวนการสร้างขึ้นมากกว่าที่จะเป็นบางอย่าง เช่นการอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมชาติหรือการค้นพบ

constructivist โต้แย้งว่านักเรียกสร้างความเข้าใจ สร้างความรู้ให้แก่ตนเอง  นอกจากนี้ยังพิจารณาให้ constructivist เป็นปรัชญาการเกิดหรือบ่อเกิดของความรู้ (epistemology) เป็นทฤษฎีของความรู้เพื่อใช้ในการอธิบายว่าเรารู้ในสิ่งที่เรารู้ได้อย่างไร (to explain how we know what we know)
 
บ่อเกิดของความรู้ตามแนว constructivist ยืนยันให้ทราบว่าเครื่องมืออย่างเดียวที่มีอยู่ให้กับผู้ที่จะรู้คือความรู้ คือประสาทรับสัมผัสทั้งหลาย (sense)  โดยผ่านทางการเห็น  ได้ยินเสียง ได้กลิ่น และรับรส ที่แต่ละคนปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม  ด้วยข่าวสารจากประสาทรับสัมผัสที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาเป็นภาพของโลกที่เข้าไป สัมผัส

ดังนั้น constructivism ยืนยันให้ทราบถึงว่าความรู้มีอยู่ในตัวคน โดยที่ความรู้นั้นไม่สามารถที่จะส่งผ่านถ่ายทอดจากหัวครูไปยังหัวของนัก เรียน  นักเรียนพยายามที่จะทำความเข้าใจถึงสิ่งที่ครู่สอนโดยพยายามที่จะให้สอด คล้องเข้ากันได้กับประสบการณ์ที่มีของแต่ละบุคคล

จุดประสงค์

อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ชีวิตเรียบง่ายไม่วุ่นวายเป็นวัตถุประสงค์ของบล็อกนี้ เชิญทุกคนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นแสดงความรู้สึก

ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำเรืองเข้าใจยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำเรื่องที่สับสนวุ่นวายให้เป็นเรื่องมีระบบที่เข้าใจได้ แต่ไม่ปฏิเสธในการทำเรื่องท้าทาย สิ่งที่ยากให้สำเร็จ และกลายเป็นเรื่องง่ายในที่สุด

หัสชัย สิทธิรักษ์ (ตุ๊)